♥ นักเรียนมีหลักปฏิบัติในการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง และไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้อื่นและสังคม
- ใช้ในการค้นคว้าหาข้อมูลและความรู้ในการเรียนที่เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับบุคลอื่นทั่วโลก ใช้ในการรับส่งข้อมูลที่ง่ายและสะดวกรวดเร็ว
และการสื่อสารกับผู้อื่นผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการพิมสร้างกระทู้ สร้างกระดานข้อความ แสดงความคิดเห็น ต้องใช้ถ้อยคำที่สุภาพและให้เกียรติผู้อื่น ไม่ควรเขียนข้อความที่พาดพิงถึงสถาบันของชาติในทางที่ไม่สมควร หรือข้อความที่ละเมิดสิทธิ ไม่แสดงข้อความกล่าวหาผู้อื่นในทางเสียหาย ไม่โพสต์ภาพลามกอนาจาร หรือสิ่งผิดกฏหมายต่างๆ
ไม่ใช้อินเตอร์ในการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร เช่น การเจาะระบบข้อมูลสำคัญของบริษัท
ไม่ก่อกวน หรือสร้างความรำคาญใจให้แก่บุคคลอื่น เช่นการไม่ส่งจดหมายลูกโซ่ หรือส่งจดหมายจำนวนมาก ต้องใช้อินเทอร์เน็ตโดยเคารพกฎ ระเบียบ กติกา และมารยาทของสังคม และควรคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันเป็นผลมาจากการกระทำของตนเอง
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.1 ความหมายขององค์ประกอบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer net-work) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกันโดยใช้สื่อกลางต่างๆ เช่น สายสัญญาณ คลื่นวิทยุ เป็นต้น เพื่อทำให้สามารถสื่อสาร และเปลี่ยนข้อมูล และใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ เช่น ฮาร์ดดิสก์ เครื่องพิมพ์ อุปกรณ์ที่มีราคาแพง เป็นต้น ซื้อเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายขององค์กร
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 6 ประเภท
♥ เครือข่ายเฉพาะที่ หรือแลน
♥ เครืข่ายนครหลวง หรือแมน
♥ เครือข่ายบริเวณกว้าง หรือแวน
♥ เครือข่ายภายในองค์กร หรืออินทราเน็ต
♥ เครือข่ายภายนอกองค์กร หรือเอ็กทราเน็ต
♥ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีองค์ประกอบพื้นฐาน 2 ส่วนหลักคือ
- องค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้งานและเชื่อมต่อภายในเครือข่าย
- องค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์ หมายถึง ระบบปฏิบัติการ หรือโปรแกรมต่างๆที่ใช้สนับสนุนการทำงานและให้บริการด้านต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ให้สามารถติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายได้
1.2 การเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่ายขนาดเล็ก
1. อุปกรณ์ในระบบเครือข่ายขนาดเล็ก
1.1 การ์ดแลน (LAN card)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปสู่คอมพิวเตอร์อีกเครื่องนึงโดยผ่านสายแลน
1.2 ฮับ (Hub)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เหมือนชุมทางข้อมูล มีหน้าที่เป็นตัวกลางคอยส่งข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่าย ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่ส่งผ่านฮับจะกระจายข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ต่ออยู่กับฮับ ซึ่งแต่ละเครื่องจะเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเองเท่านั้น
1.3 สวิตช์(switch)
เป็นอุปกรณ์รวมสัญญาณเช่นเดียวกับฮับ แต่แตกต่างจากฮับคือ การรับส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งนั้นจะไม่กระจายไปยังทุกเครื่อง เนื่องจากสวิตช์จะรับข้อมูลมาครวจสอบก่อนว่าเป็นข้อมูลของเครื่องใดแล้วจึงนำข้อมูลนั้นๆส่งไปยังเครื่องปลายทางได้อย่างอัตโนมัติ
เป็นอุปกรณ์รวมสัญญาณเช่นเดียวกับฮับ แต่แตกต่างจากฮับคือ การรับส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งนั้นจะไม่กระจายไปยังทุกเครื่อง เนื่องจากสวิตช์จะรับข้อมูลมาครวจสอบก่อนว่าเป็นข้อมูลของเครื่องใดแล้วจึงนำข้อมูลนั้นๆส่งไปยังเครื่องปลายทางได้อย่างอัตโนมัติ
1.4 โมเด็ม(modem)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณเพื่อให้สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ (Telephone line) หรือสายใยแก้วนำแสง(Fiber optic cable) ได้ สามารถทำให้ส่งสัญญาณได้ไกล
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณเพื่อให้สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ (Telephone line) หรือสายใยแก้วนำแสง(Fiber optic cable) ได้ สามารถทำให้ส่งสัญญาณได้ไกล
1.5 อุปกรณ์จัดเส้นทางหรือเราเตอร์(Router)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่ายหลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน การส่งข้อมูลถึงกันจึงมีเส้นทางหลายเส้นทาง เราเตอร์ทำหน้าที่เลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการส่งผ่านข้อมูล เพื่อให้การส่งข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความล้มเหลวในการส่งข้อมูล
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่ายหลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน การส่งข้อมูลถึงกันจึงมีเส้นทางหลายเส้นทาง เราเตอร์ทำหน้าที่เลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการส่งผ่านข้อมูล เพื่อให้การส่งข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความล้มเหลวในการส่งข้อมูล
1.6 สายสัญญาณ (cable)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมูลมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็นสายโคแอกซ์ (coaxial cable) สายตีเกลียวคู่แบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน (Unshielded Twisted Pair :UTP) สายตีเกลียวคู่แบบป้องกันสัญญาณรบกวน (Shielded Twisted Pair :STP) และสายใยแก้วนำแสง (fiber optic cable)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมูลมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็นสายโคแอกซ์ (coaxial cable) สายตีเกลียวคู่แบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน (Unshielded Twisted Pair :UTP) สายตีเกลียวคู่แบบป้องกันสัญญาณรบกวน (Shielded Twisted Pair :STP) และสายใยแก้วนำแสง (fiber optic cable)
2. การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายขนาดเล็ก
2.1 การเชื่อมต่อเครือข่ายระยะใกล้ หากมีคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายไม่เกินสองเครื่อง อุปกรณ์ในระบบเครือข่ายนอกจากคอมพิวเตอร์แล้ว ยังต้องมีการ์ดแลนและสายสัญญาณโดยไม่ต้องใช้ฮับและสวิตช์ เพราะมีคอมพิวเตอร์แค่สองเครื่องก็สามารถเชื่อมต่อให้เป็นวงแลนได้โดยใช้สายไขว้(cross line)
2.2การเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกล
แบบที่ 1 ต้องติดตั้งเครื่องทวนสัญญาณ(repeater) ไว้ทุกระยะ 100 เมตร
แบบที่ 2 คือ ใช้โมเด็มหมุนโทรศัพท์เข้าหากันเมื่อต้องการเชื่อมต่อและเมื่อเสร็จสิ้นธุรกิจแล้วก็ยกเลิกการเชื่อมต่อ แต่ความเร็วที่ได้จะได้แค่เพียงความสามารถของสายโทรศัพท์
แบบที่ 3 ถือว่าเป็นเทคโนโลยีระบบเครือข่ายที่มีประสิธิภาพที่ดีที่สุดในปัจจุบันสายสัญญาณที่เลือกใช้คือ สายใยแก้วนำแสง ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ระยะทางไกลและมีความเร็วสูง รวมไปถึงความปลอดภัยของข้อมูลด้วย
แบบที่ 4 คือใช้จุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย(Wireless lan) เป็นการเชื่อมต่อโดยใช้สัญญาณวิทยุทางกาศแทนการใช้สายโทรศพท์เพื่อลดปัญหาจากการใช้สายสัญญาณ เหมาะสำรับติดตั้งในพื้นที่ที่มีขนาดจำกัด
แบบที่ 5 คือเทคโนโลยี G.SHDSL ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีตะกูล DSL (Digital subscriber line) เป็นเทคโนโลยีโมเด็มที่ทำให้คู่สายทองแดงธรรมดากลายเป็นสื่อสัญญาณดิจิทัลความเร็วสูง โดยใช้เทคนิคการเข้ารหัสสัญญาณข้อมูล
แบบที่ 6 คือ เทคโนโลยีแบบ Ethernet over VDSL เป็นเทคโนโลยีระบบเครือข่ายแบบล่าสุดที่สามารถตะติดตั้งใช้งานได้เอง จึงทำให้มีต้นทุนต่ำ
1.3 การเลือกใช้ซอฟแวร์ของระบบเครือข่ายขนาดเล็ก
1.ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ เซ็นต์โอเอส (linux community enterprise operating system) นิยมเรียกย่อว่า centOS ซึ่งช่วยประหยัดงบประมาณขององค์กร เนื่องจาก CentOS เป็นซอฟแวร์เปิดเผยโค้ด (open source software) ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดโค้ดไปใช้งาน หรือแก้ไขได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ เพียงแต่ผู้ดูแลระบบต้องเรียนรู้ระบบก่อนการใช้งานซึ่งในปัจจุบันสามารถเรียนรู้ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ
2.ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ (windows server)
ปัจจุบันถูกพัฒนามาเป็น Windows server 2008 ซึ่งออกแบบมาเพื่อสนับสนุนระบบเครือข่าย แอพพลิเคชั่น และบริการอื่นๆที่มีความสมัยบนเว็บไซต์ สามารถพัฒนาให้บริการและจัดการกับแอพพลิเคชั่นต่างๆที่เสริมสร้างส่วนติดต่อผู้ใช้ (User interface : UI) เพื่อเพิ่มสมรรถภาพการใช้งานสูงสุดนอกจากนั้นยังมีระบบโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีความปลอดภัยสูงและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าด้านเทคโนโลยีให้กับองค์กร
2. อินเทอร์เน็ต
2.1 ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต (internet) หมายถึง การใช้ประโยชน์ของระบบเครือข่ายที่นำเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องมาเชื่อมต่อกันโดยผ่านสื่อกลางชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยมีมาตรฐานการรับส่งข้อมูลระหว่างกันแบบเดียวกัน
2.2 บริการบนอินเทอร์เน็ต
กล่าวคือ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไม่จำกัดสถานที่และเวลา ดังนั้นจึงมีการนำอินเทอร์เน็ตไปประยุกต์ใช้วานหลากหลายประเภท เช่น
1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล เป็นบริการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผู้ใช้สามารถส่งข้อความเพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับบุคคลอื่นๆที่ใช้บริการนี้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้
2.เมลลิงลิสต์ การใช้งานจะเป็นลักษณะของการสมัครเป็นสมาชิกของกลุ่มโดยใช้อีเมลแอดเดรสเป็นสื่อติดต่อและรับข่าวสารต่างๆจากกลุ่ม
3.การสื่อสารในเวลาจริง เป็นการสื่อสารกันที่สามารถโต้ตอบกลับได้ทันทีผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น แชท ห้องคุย
4. เว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม เป็นชุมชนออนไลน์ที่กลุ่มคนรวมกันเป็นสังคม มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน มีกานทำกิจกรรมร่วมกัน
5.บล็อก เป็นเว็บไซต์ที่ใช้เขียนบันทึกเรื่องราว เพื่อสื่อสารความรู้สึก มุมมอง ประสบการณ์ โดยจะแสดงข้อความที่เขียนล่าสุดไว้บนเว็บไซต์
6. วิกิ เป็นรูปแบบการเผยแพร่ข้อมูลที่บุคคลต่างๆ โดยข้อมูลที่เผยแพร่นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป
7. บริการเข้าใช้ระบบคอมพิวเตอร์ระยะไกล ในบริการนี้ผู้ใช้จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการเข้าไปใช้งานก่อน
8. การโอนย้ายข้อมูล เป็นการถ่ายโอนแฟ้มข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง มีการทำงาน 2 ลักษณะ คือ get และ put
9.บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร หรือยูสเน็ต มีลักษณะเป็นกลุ่มสนทนา เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารกันบนอินเทอร์เน็ตเพื่อให้ผู้คนได้แสดงความคิดเห็น
10. เวิลด์ไวด์เว็บ เป็นการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าและบริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
2.3 คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต
1. จรรยาบรรณในการใช้อินเทอร์เน็ต
1.1 จรรยาบรรณสำหรับผู้ใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
มีข้อควรประพฤติ ดังนี้
-ตรวจสอบกล่องไปรษณีย์ทุกครั้ง
-ลบข้อความหรือจดหมายที่ไม่ต้องการทิ้ง
-การโอนย้ายจดหมาย
-พึ่งระลึกไว้เสมอว่าไม่ควรเก็บข้อมูลไว้ในตู้จดหมาย
-ไม่ควรส่งจดหมายกระจายไปยังผู้รับจำนวนมาก
1.2 จรรยาบรรณสำหรับผู้สนทนาผ่านเครือข่าย
มีข้อควรประพฤติ ดังนี้
-ควรสนทนากับผู้ที่รู้จักและต้องการสนทนาด้วยเท่านั้น
-ควรตรวจสอบสถานะของคู่สนทนาก่อน
-หากผู้ที่สนทนาไม่ตอบกลับแสดงว่าติดธุระอยู่ ควรปิดการสนทนา
-ควรใช้วาจาที่สุภาพ
1.3 จรรยาบรรณสำหรับผู้ใช้กระดานข่าวหรือกระดานสนทนา
มีข้อควรประพฤติ ดังนี้
-เขียนเรื่องให้กระชับ
-ไม่ควรเขียนข้อความพาดพิงถึงสถาบันของชาติ
-ให้ความสำคัญในเรื่องลิขสิทธิ์
-ไม่ควรสร้างข้อความเท็จ
-ไม่ควรใช้เครือข่ายส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตน
2. บัญญัติ 10 ประการในการใช้งานคอมพิวเตอร์
มีดังนี้
-ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น
-ไม่ใช้คอมพิวเตอร์รบกวนการทำงานของผู้อื่น
-ไม่เปิดดูข้อมูลในแฟ้มของผู้อื่น
-ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำการโจรกรรม
-ไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
-ไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่น
-ไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรของคอมพิวเตอร์
-ไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
-คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคม
-ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎ ระเบียบ กติกา และมารยาทของสังคม
วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ
1. ระบบสารสนเทศ
ระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึง ระบบที่สามารถจัดการข้อมูลตั้งแต่การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การประมวลผลข้อมูล รวมถึงการดูแลรักษาข้อมูล เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ถูกต้องและทันต่อความต้องการใช้ของผู้ใช้ และผู้ใช้สามารถนำสารสนเทศที่ได้ไปประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
1.1 องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ
องค์ประกอบของระบบสารสนเทศที่สำคัญมี 5 องค์ประกอบดังนี้
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบสารสนเทศ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์รอบข้าง รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดตรวจเมื่อพิจารณาเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 3 หน่วย คือ
♥ หน่วยรับข้อมูล (input unit) ได้แก่ แผงแป้นอักขระ เมาส์♥ หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)
♥ หน่วยแสดงผล (output unit) ได้แก่ จอภาพ เครื่องพิมพ์
2. ซอฟต์แวร์ (Software)
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สอง ซึ่งก็คือลำดับขั้นตอนของคำสั่งที่จะสั่งงานให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการของการใช้งาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เช่น รับข้อมูลจากแป้นพิมพ์ ประมวลผลข้อมูล แสดงผลทางจอภาพ เป็นต้น ซึ่งซอฟต์แวร์ระบบแบ่งออกเป็นระบบปฏิบัติการ โปรแกรมแปลภาษาและโปรแกรมอรรถประโยชน์
2.ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software) เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ ซอฟต์แวร์ตารางงาน ซอฟต์แวร์ด้านกราฟิก เป็นต้น
3. ข้อมูล (Data)
ข้อมูลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ อาจจะเป็นตัวชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของระบบได้ เนื่องจากจะต้องมีการเก็บข้อมูลจากแหล่งกำเนิด ข้อมูลจะต้องมีความถูกต้อง มีการกลั่นกรองและตรวจสอบแล้วเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ ข้อมูลจำเป็นจะต้องมีมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานในระดับกลุ่มหรือระดับองค์กร ข้อมูลต้องมีโครงสร้างในการจัดเก็บที่เป็นระบบระเบียบเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่ดีซึ่งเหมาะแก่การนำไปใช้งานจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
♥ ถูกต้องและสมเหตุสมผล
♥ ทันสมัย
♥ สมบูรณ์
♥ สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้
♥ สามารถพิสูจน์ได้
4. บุคลากร (People)
บุคลากร คือผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศตั้งแต่การพัฒนาระบบจนกระทั่งการใช้งานและการบำรุงรักษา ซึ่งบุคลากรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบสารสนเทศ ต้องมีความรู้ความสามรถในการใช้ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้สารสนเทศที่มีคุณภาพ
5. ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Procedure)
ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจนของผู้ใช้หรือของบุคลากรที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง เมื่อได้พัฒนาระบบงานแล้วจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามลำดับขั้นตอนในขณะที่ใช้งานก็จำเป็นต้องคำนึงถึงลำดับขั้นตอนการปฏิบัติของคนและความสัมพันธ์กับเครื่อง ทั้งในกรณีปกติและกรณีฉุกเฉิน เช่น ขั้นตอนการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการประมวลผล ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเครื่องชำรุดหรือข้อมูลสูญหาย และขั้นตอนการทำสำเนาข้อมูลสำรองเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะต้องมีการซักซ้อม มีการเตรียมการ และการทำเอกสารคู่มือการใช้งานที่ชัดเจน
1.2 ชนิดของระบบสารสนเทศ
องค์กรส่วนใหญ่จะใช้ระบบสารสนเทศในการทำงาน โดยแต่ละองค์กรจะเลือกใช้ระบบบสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งระบบสารสนเทศแบ่งเป็น5ชนิด ดังนี้
1. ระบบสารสนเทศสำนักงาน (Office Information System : OIS)
หรือระบบสำนักงานอัตโนมัติเป็นระบบที่ใช้ในการผลิตสารสนเทศของสำนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศ แลัเทคโนโลยีเครื่องใช้สำนักงาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ สแกนเนอร์ เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องโทรสาร เป็นต้น รวมถึง ซอฟต์แวร์ต่างๆ เช่น โปรแกรมประมวลคำ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ไปรษณีย์เสียง ระบบประชุมทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นต้น
2. ระบบสารสนเทศประมวลผลรายการ (Transaction Processing System : TPS)
หรือระบบประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Processing : EDP) เป็นระบบสารสนเทศที่มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้บันทึกข้อมูลรายการที่เกิดขึ้นประจำวันของส่วนใดส่วนหนึ่งของธุรกิจนั้นๆ ซึ่งข้อมูลรายการที่เกิดขึ้นประจำวันดังกล่าวจะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการนำไปประมวลผลเป็นสารสนเทศสำคัญของระบบสารสนเทศอื่นๆ
3. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System : MIS)
เป็นระบบสารสนเทศที่นำข้อมูลรายการที่เกิดขึ้นประจำวันจากระบบสารสนเทศประมวลผลรายการจากแผนกต่างๆ มาสรุปเป็นรายงานสำคัญสำหรับผู้บริหาร เพื่อประโยชน์สำหรับการบริหารจัดการ ได้แก่ การควบคุมหรือตรวจสอบการดำเนินงาน การวางแผน และการตัดสินใจดำเนินงาน
4. ระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System : DSS)
เป็นระบบสารสนเทศที่พัฒนาความสามารถเพื่อมเติมจากระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโดยจะสนับสนุนความต้องการเฉพาะของผู้บริหารแต่ละคน ซึ่งจะให้ระบบจะใช้ตัวแบบ (model) ในการวางแผน ทำนาย และสรุปทางเลือกสำหรับการตัดสินใจได้หลายๆทาง สำหรับผู้บริหารตัดสินใจได้สะดวกรวดเร็ว โดยผู้บริหารต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ระบบเสนอแนะมาด้วยตนเอง
5. ระบบสารสนเทศสนับสนุนผู้บริหาร (Executive Information System : EIS)
เป็นระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นเพื่อการสนับสนุนสารทนเทศและการตัดสินใจสำหรับผู้บริหารระดับสูง โดยระบบจะประมวลผลสารสนเทศให้ผู้บริหารมองเห็นภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทประกอบกับผู้บริหารเป็นกลุ่มบุคคลที่มีข้อจำกัดด้วนระบบเวลาในการเข้าถึงและทำความเข้าใจกับข้อมูล ดังนั้นส่วนใหญ่สารสนเทศจะอยู่ในรูปแบบของกราฟฟิกที่ดูเข้าใจง่าย เช่น กราฟ ตาราง ภาพ สามมิติ เป็นต้น รวมทั้งการนำเสนอสารสนเทศขององค์กรโดยสรุป และสามารถเรียกดูลึกเข้าไปในรายละเอียดที่ต้องการได้ ซึ่งระบบสารสนเทศสนับสนุนผู้บริหารจำเป็นต้องใช้ข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กร
2. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ
โดยระดับของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในองค์กรมีอยู่ 3 ระดับ ดังนี้
2.1 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการตัดสินของบุคคล
1. ระบบสารสนเทศสำนักงาน เป็นการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปและเครื่องใช้สำนักงาน เช่น Microsoft word พิมพ์เอกสาร Microsoft power point นำเสนองาน เป็นต้น
2. ระบบสารสนเทศประมวลผลรายการ เพื่อบันทึกข้อมูลประจำวัน เช่น ใช้ซอฟต์แวร์การขายสินค้าในการบันทึก ปรับปรุง ลบ และค้นหารายการสินค้า ซึ่งช่วยให้การทำงานสะดวกและรวดเร็วขึ้น เป็นต้น
2.2 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจของกลุ่ม
เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยเสริมการทำงานของกลุ่มบุคคลให้สมารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีหลักการ คือ การนำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายระยะใกล้ หรือระยะไกล ทำให้มีการใช้ทรัพยากร ในระบบเครือข่ายร่วมกันได้
2.3 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจขององค์กร
เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาเชื่อมโยงระบบวสรสนเทศของแผนกต่างๆ ในองค์กรเข้าด้วยกัน เพื่อส่งผ่านข้อมูลจากแผนกหนึ่งไปยังแผนกหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากการบริหารงานของผู้บริหารระดับสูงจำเป็นต้องใช้ข้อมูลร่วมกันจากหลายแผนกเพื่อประกอบการตัดสินใจ
หลักการ คือ การนำเครื่องคอมพิวเตอร์ของแผนกต่างๆ มาเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเพื่อให้เกิดการใช้ข้อมูลร่วมกัน เช่น แผนกการตลาด แผนกการผลิต แผนกจัดซื้อ แผนกบุคคล แผนกการเงินและบัญชีเป็นต้น
สรุป
ระบบสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตของมนุษย์มากขึ้น องค์กรต่างๆใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ประมวลผลข้อมูล รวมถึงการดูแลรักษาข้อมูล เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ถูกต้องและทันต่อความต้องการของผู้ใช้ และผู้ใช้สามารถนำสารสนเทศที่ได้ไปประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแต่ละองค์กรจะเลือกใช้ระบบสารสนเทศใดนั้นจะต้องคำนึงถึงความต้องการใช้งาน ความเหมาะสมกับธุรกิจ รวมถึงต้นทุนในการพัฒนาระบบสารสนเทศ
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ม.5
วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556
มารู้จักผู้เขียนกันเถอะ
♥ ชื่อ สุดามาศ ตระการไทย
♥ ชื่อเล่น พลอย
♥ อายุ 16 ปี
♥ เกิดวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540
♥ งานอดิเรก วาดรูป ฟังเพลง และเล่นอินเตอร์เน็ต และส่วนมากจะเล่นแต่ twitter
♥ นิสัย เป็นคนที่ชอบเกาหลี ชอบศิลปินไอดอลเกาหลี และชอบฟังเพลงเกาหลี
เพราะสิ่งๆนี้เป็นสิ่งที่พลอยอยู่ด้วยแล้วมีความสุขมากที่สุด
เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ถ้าได้อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองแล้ว สิ่งภายนอกจะไม่มีความสำคัญเลย เป็นคนรักความยุติธรรม ชอบคิดชอบฝันชอบจินตนาการ เป็นคนรักครอบครัวและรักเพื่อนมาก
♥ สีที่ชอบ สีชมพู ม่วง แดง เทา ฟ้า
ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ ^__^
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)